กรุณารอสักครู่่
ติดต่อสอบถาม โทร.1491 หรือ 02-908-8888
Advice IT Infinite Public Company Limited

ถอดรหัส 16 ข้อควรรู้ วิธีเลือกซื้อโน้ตบุ๊คฉบับปี 2021!!

     ในปัจจุบันการเลือกซื้อโน้ตบุ๊คอาจะเป็นปัญหาของใครหลายๆ คนที่ไม่รู้จะเลือกซื้อตัวไหนดี เพราะมีรุ่นและสเปคต่างๆ ให้เลือกมากมาย ทั้งยังมีราคาและรายละเอียดปลีกย่อยให้ดูจนปวดหัวไปหมด แถมโน้ตบุ๊คเครื่องนึงก็ไม่ใช่ราคาถูกๆ  แต่ไม่ต้องกังกลไป วันนี้ทางเราจะมาแนะนำเคล็ดลับการเลือกโน้ตบุ๊คให้โดนใจ ไม่ตกรุ่น เหมาะแก่การใช้งานในด้านต่าง ๆ เพื่อเป็นแนวทางในการตัดสินใจ ส่วนเคล็ดลับในการเลือกซื้อนั้นจะมีอะไรบ้างก็ไปดูกันเลย ~
 
1. เลือกขนาดของหน้าจอโน้ตบุ๊คที่ต้องการ
     โน้ตบุ๊ครุ่นใหม่ในปัจจุบันส่วนมากจะมาพร้อมขอบหน้าจอที่บางลง ทำให้เราสามารถพกพาโน้ตบุ๊คจอใหญ่แต่ตัวเครื่องเล็กได้ โดยโน้ตบุ๊คจะแบ่งหน้าจอออกเป็นขนาดต่างๆ ตามเส้นทแยงมุมของหน้าจอโดยจะนับหน่วยเป็นนิ้ว  โดยขนาดหน้าจอยิ่งใหญ่เครื่องก็จะมีน้ำหนักมากขึ้น ทำให้พกพายากและราคาที่มากตามขึ้นไปด้วย โดยทั่วไปโน้ตบุ๊คจะมีขนาดหน้าจออยู่ที่ 14 นิ้ว , 15.6 นิ้ว และ 17.3 นิ้ว และขนาดพิเศษ เช่น ตัวโน๊ตบุ๊คของ HP Pavilion Gaming 16 ทีจะมีหน้าจอขนาด 16 นิ้ว
 
2. ตรวจเช็คความละเอียดของหน้าจอ
     ขนาดของหน้าจอโน้ตบุ๊คถึงจะมีขนาดใหญ่แต่ก็ไม่ใช่จะมีความละเอียดคมชัดเสมอไป เราต้องเลือกขนาดหน้าจอและความละเอียดให้สัมพันธ์กัน หากจอเล็กแต่ความละเอียดสูงเกินไป อาจจะทำให้ไอคอนเล็กเกินไปต้องมานั่งปรับขนาดเองอีกด้วย โดยความละเอียดหน้าจอของโน้ตบุ๊คโดยทั่วไปความละเอียดขั้นต่ำที่เราแนะนำในปี 2021 นี้ก็คือความละเอียดแบบ FHD 1920 x 1080 พิกเซล ที่เหมาะแก่การทำงานทั่วไป ดูหนัง เล่นเกม หรือจะเป็นความละเอียดขนาด QHD 2560 x 1440 หรือที่เราเรียกสั้นๆ กันว่า 2K นั่นเองความละเอียดระดับนี้จะทำให้ภาพในจอออกมาสวยงาม ดูคมชัด เพิ่มประสบการณ์การทำงานหรือเล่นเกมไปอีกขั้น
 
3. ประเภทของหน้าจอโน้ตบุ๊ค
     ประเภทของหน้าจอก็เป็นสิ่งที่จำเป็นเช่นกัน โดยจะแยกเป็น Panel ต่างๆ อย่าง IPS , TN , VA ซึ่งในแต่ละแบบก็จะมีข้อดีและข้อจำกัดที่แตกต่างกัน และยังแบ่งเป็น 2 ประเภทจอหลักๆ อีก คือ 1.จอกระจก 2.จอกระจกด้าน โดยทางจอกระจกจะให้สีที่คมชัดและสวยงาม แต่ก็แลกมาด้วยถ้ามีแสงอะไรสะท้อนเข้ามาก็จะเกิดความรำคาญตาหรือบดบังสิ่งที่กำลังแสดงอยู่ในหน้าจอไปเลย ส่วนจอกระจกด้านจะทำให้แสงที่สะท้อนเข้ามาใส่จอเราน้อยลง แต่ก็แลกมาด้วยที่ต้องลดความสดของสีในจอลงนิดหน่อย เรามาดูประเภท Panel กันเลยดีกว่าว่ามีอะไรกันบ้าง

3.1 หน้าจอ IPS ( In-Plane Switching ) โดยข้อดีของหน้าจอประเภทนี้คือมีมุมมองที่กว้างถึง 178 องศา มีสีที่คมชัดและความละเอียดสีตรงความเป็นจริงที่สุด มองมุมไหนสีก็แทบจะไม่เพี้ยนเลย เหมาะสำหรับสายงานด้านกราฟฟิกหรือผู้ที่ต้องการใช้หน้าจอที่มีความเที่ยงตรงของสี ทั้งยังมีความสว่างที่สูงที่สุดอีกด้วย แต่ข้อเสียของจอประเภทนี้ก็คือในด้านการแสดงผล “ สีดำ ” ยังไม่ดีเท่าประเภทหน้าจอของ VA แถมอาจมีอาการจอแสงรั่วเข้ามาอีกด้วย
 
3.2 หน้าจอ VA ( Vertical Alignment ) ข้อดีของประเภทหน้าจอนี้คือให้สีดำที่ดำสนิทสมจริงที่สุด และให้ค่า Contrast Ratio ที่สูงมาก มีความตรงของสีพอประมาณ มีข้อเสียอยู่ที่มุมมองที่ด้อยกว่าหน้าจอแบบ IPS และยังมีความตรงของสีที่น้อยกว่า และถ้ามองผิดมุมสีก็จะเพี้ยน
 
3.3 หน้าจอ TN ( Twisted Nematic ) เป็นประเภทหน้าจอทีมีค่า “ Response Time ” ที่ต่ำมากทำให้ภาพเคลื่อนไหวได้ไม่กระตุก และยังให้ Refresh Rate สูงในราคาที่จับต้องได้ทำให้ใช้งานแล้วสบายตา มองอะไรในจอก็ดูลื่นไหลไปหมด ที่สำคัญยังเป็นประเภทหน้าจอที่ราคาถูกที่สุด แต่ข้อเสียของจอประเภทนี้ก็คือสีเพี้ยนได้ง่าย  มุมมองแคบเป็นอย่างมาก แถมมีความสว่างจอที่สู้ประเภทหน้าจออื่นไม่ค่อยได้ หน้าจอนี้เหมาะกับเล่นเกมแต่ไม่เหมาะในการใช้งานด้านกรากฟิกหรือแต่งรูป   
 
4. ค่า Refresh Rate เองก็สำคัญ
     Refresh Rate หมายความว่าหน้าจอของเราจะสามารถแสดงภาพนิ่งได้กี่ภาพ ( เรียกเป็น frame ) ใน 1 วินาที โดยค่า Refresh Rate ก็จะมีหน่วยเรียกเป็น Hz โดยการเลือกค่า Refresh Rate ต้องเลือกให้เข้ากับสเปคโน้ตบุ๊คด้วย เช่น โน้ตบุ๊คใช้ RTX 2080 เล่นเกมสามารถทำได้ 300 fps แต่จอของเรา Refresh Rate แค่ 60Hz เราก็จะมองเห็นแค่ 60 fps ซึ่งยิ่งจอภาพ Hz สูงเท่าไหร่ ภาพที่แสดงผลออกมาก็จะลื่นไหลเท่านั้น สำหรับใครที่อยากดูหนังแบบลื่นเพลินตาหรือเล่นเกมแบบแล้วภาพนวลตาลื่นไหลเหมือนสายน้ำเราแนะนำให้เลือกใช้ Refresh Rate ที่ 120Hz ขึ้นไปครับ
 
5. เลือกซีพียูที่ตอบสนองการใช้งานของคุณ
     ซีพียูของโน้ตบุ๊คจะแบ่งออกเป็น 2 ฝั่งคือ INTEL และ AMD โดยในแต่ละแบรนด์ก็จะแบ่งรุ่นซีพียูและประเภทต่างไว้อีกด้วย โดยจะมีรายละเอียดดังนี้


5.1.1 ซีพียูค่ายฟ้าหรือ INTEL แนะนำการใช้เป็น Core i Series โดยจะแบ่งออกเป็น Core i3 , Core i5 , Core i7 และ Core i9 ระดับความแรงก็จะเรียงไปตามเลขยิ่งมากก็ยิ่งแรงและจะมีรหัสตามหลังเป็นเลขบอก Generation และรหัสอักษรภาษาอังกฤษลงท้าย เช่น Core i5 – 10300H แปลว่าเป็น CPU จากทาง Intel Core i5 Generation ที่ 10 แบบประสิทธิภาพสูง ซึ่งเทคโนโลยีล่าสุดจากจากทางฝั่ง Intel ในปัจจุบันคือ Gen 11 รุ่นที่ทันสมัยที่สุดที่มีให้เลือกซื้อตอนนี้นั้นเอง

5.1.2 ซีพียูค่ายแดงหรือ AMD แนะนำการใช้เป็น Ryzen Series โดยจะแบ่งออกเป็น Ryzen 3 , Ryzen 5 , Ryzen 7 และ Ryzen 9 โดยรายละเอียดก็จะเหมือน Intel เลยคือยิ่งตัวเลขมากก็จะยิ่งแรง และจะมีรหัสตามท้าย CPU เป็น U , H และ HS เช่น Ryzen 7 4800H แปลว่าเป็น CPU จากทาง AMD Ryzen 7 Generation ที่ 4 และก็เช่นกัน H แปลว่ารุ่นประสิทธิภาพสูง ในทางฝั่งของ AMD Gen 4 คือรุ่นที่ทันสมัยที่สุดที่มีให้เลือกซื้อในตอนนี้เช่นกัน
 
     โดยการแยกประเภทการใช้งานตามความต้องการแบบง่ายๆ ก็จะตามนี้เลย
Core i3 / Ryzen 3 – น้องเล็กราคาประหยัด สำหรับการใช้งานทั่วไป เล่นเกมเบาๆ ทำงานเล็กน้อย ดูหนังฟังเพลง หรือใช้งานในด้าน Entertainment
Core i5 / Ryzen 5 – น้องรองป็นซีพียูระดับกลาง มีความแรงพอประมาณ เหมาะกับการใช้งานทั่วไปในชีวิตประจำวัน เล่นเกมได้ ตัดต่อวีดีโอหรือประมวลผลได้แต่ไม่ถึงกับดีมาก
Core i7 / Ryzen 7 – เป็นพี่ใหญ่เหมาะสำหรับคนใช้งานแบบหนัก ๆ เล่นเกมได้ไม่สะดุด ตัดต่อวีดีโอได้ชิวๆ ใครอยากใช้งานแบบลื่นไหลต้องตัวนี้เลย
Core i9 / Ryzen 9 – เป็นปะป๋าของครอบครัว ซีพียูระดับสูงสุด เหมาะกับการใช้งานแบบ Extreme เช่นการสตรีมเกม ตัดต่อไฟล์วีดีโอใหญ่ๆ เป็นหลัก เล่นเกมแบบมีอะไรให้ปรับก็จะปรับสุดทุกอย่างต้องตัวนี้เลย

สำหรับใครที่เลือกไม่ถูกก็ให้ตัดสินใจจากราคาและความชอบของแต่ละคนได้เลย เพราะถึงจะต่างแบรนด์กันแต่ก็มีประสิทธิภาพใกล้เคียงกัน เช่น Ryzen 5 จะมีประสิทธิภาพใกล้เคียงกับ Core i5 นั่นเอง แต่ถ้าดูเบื้องลึกอย่างความเสถียรและประสิทธิภาพของไดรเวอร์ สามารถสอบถามเพิ่มเติมกับพนักงาน Advice ได้เลยยย
 
5.2 รหัสต่างๆ ที่มักพบเจอในซีพียูโน้ตบุ๊ค
U – จะเป็นรุ่นประหยัดพลังงาน ส่วนมากจะอยู่ในโน้ตบุ๊คน้ำหนักเบา แบตอึด โดยประสิทธิภาพการทำงาน จะไม่แรงมากและจะลดความเร็ว Clock ซีพียูลงหากมีความร้อนสูงเกินไป
H / HK - จะเป็นรุ่นประสิทธิภาพสูง ส่วนมากจะอยู่ในโน้ตบุ๊คเกมมิ่งและโน้ตบุ๊คสายทำงาน Workstation ต่างๆ โดยจุดเด่นของรหัสนี้ก็คือจะมีความแรงมากกว่ารหัส U แต่ข้อเสียก็คือส่วนมากจะกินไฟเยอะ และรหัส HK หมายถึงสามารถ Overclock ได้อีกด้วย
HS – คือรุ่นประสิทธิภาพสูง แต่จะลด Clock ของซีพียูลงเพื่อประหยัดพลังงานและลดความร้อนลง
G – คือมาซีพียูที่มาพร้อมหน่วยประมวลผลกราฟิกในตัว โดยความแรงของชิปกราฟิกจะแรงตามเลขตามหลังตัว G
 
6. เลือกการ์ดจอที่ใช่ ตอบโจทย์การเล่นเกมและทำงาน
การ์ดจอก็จะแบ่งออกเป็น 2 ค่ายเช่นเดียวกับ CPU แต่รอบนี้จะแบ่งออกเป็นค่าย Nvidia และ AMD
โน้ตบุ๊คส่วนใหญ่จะเลือกใช้การ์ดจอของ Nvidia และก็มีบางค่ายที่หันมาใช้การ์ดจออย่าง Radeon RX ของ AMD
 
 
การ์ดจอของ Nvidia ในปัจจุบันแบ่งออกได้ดังนี้
 
GTX1650 / GTX1650Ti - เป็นการ์ดจอระดับเริ่มต้นสำหรับการเล่นเกมให้ลื่นไหลในสมัยนี้เหมาะสำหรับเกมเมอร์เริ่มต้นและคนที่ชอบเล่นเกมที่กราฟิกไม่สูงมากนัก และทำงานทั่วไป โดยส่วนมากจะอยู่ในเกมมิ่งโน้ตบุ๊คระดับเริ่มต้น - กลางขึ้นอยู่กับภาพรวมของสเปคโน้ตบุ๊คนั้นๆ ด้วย 
GTX1660 / GTX1660Ti - เป็นการ์ดจอระดับกลางสำหรับการเล่นเกม มีความแรงและ VRAM ที่มากกว่า GTX1650Ti ทำให้เล่นเกมได้ลื่นไหลยิ่งกว่าเดิมและปรับภาพได้สูงขึ้น เหมาะสำหรับคนที่ชอบเล่นเกมที่ต้องการกราฟิกกลาง-สูง ส่วนมากจะอยู่เกมมิ่งโน้ตบุ๊คระดับกลาง - ระดับสูง
RTX Series 2060 , 2070 , 2080 - การ์ดจอ RTX Series นี้โดยส่วนใหญ่จะอยู่ในเกมมิ่งโน้ตบุ๊คระดับสูง มีความแรงและ VRAM ที่เยอะมาก เหมาะสำหรับคนที่ชอบเล่นเกมแบบปรับภาพกราฟิกสูงสุดและภาพยังไหลลื่นไม่กระตุก หรือคนที่ใช้ทำงานหนักเช่นตัดต่อวีดีโอหรือต้องการใช้การ์ดจอประมวลผลในการทำงานด้านต่างๆ
Quadro Series - เป็นการ์ดจอสาย Workstation ความแรงในการเล่นเกมอาจสู้ RTX ตัวสูงๆ ไม่ได้แต่ถ้าให้วัดในด้านการทำงานแบบสุดจัด ก็ต้องตัวนี้เลย สามารถนำไปทำงานตัดต่อ ออกแบบ หรือทำงานอื่นๆ ด้านกราฟิกและรีดประสิทธิภาพได้ออกมาถึงขีดสุด หากทำงานด้านโมเดล 3D หรือแบบจำลอง 3 มิติต้องตัวนี้เลย
MX Series – เป็นการ์ดจอสำหรับโน้ตบุ๊คบางเบาหรือ Ultrabook หรือใช้ทำงาน ไม่เหมาะสำหรับการเล่นเกมเท่าไหร่นักแต่ก็ยังสามารถนำมาเล่นเกมออนไลน์หรือเกมเบา ๆ ได้เล็ก ๆ น้อย ๆ  
 
การ์ดจอของ AMD Radeon ที่ลงในโน้ตบุ๊คก็จะมี Rx Series ที่ลงท้ายด้วยรหัส M อาทิ RX 5300M , RX 5500M , RX 5600M และ RX 5700M โดยความแรงก็จะขึ้นอยู่กับเลขที่มากขึ้นยิ่งเลขมากก็ยิ่งแรงจากผลการทพสอบ RX 5300M จะแรงกว่า GTX 1650 อยู่นิดหน่อยแต่ก็ไม่แรงเท่า GTX 1660 และ RX 5700M จะมีความแรงอยู่ระหว่าง RTX2060 และ RTX 2070 ส่วน RTX 2080 ยังครองแชมป์ด้านความแรงต่อไป
 
7. หน่วยความจำ RAM
     หน่วยความจำควรมีขนาด 8GB ขึ้นไป แต่ถ้าเอาที่แนะนำเลยจะอยู่ที่ 16GB เพราะการใช้งานในสมัยนี้แค่ตัว Windows 10 เองก็กินแรมไปพอสมควรแล้ว ทำให้ในสมัยนี้ แรมเพียง 4GB อาจไม่เพียงพออีกต่อไป โดยส่วนมากแรมจะมีมาให้เริ่มต้นที่ 8GB โดยแรมขนาดเท่านี้จะเหมาะในการใช้งานทั่วไป เล่นเกมได้เบา ๆ แต่หากจะนำไปเล่นเกมหนัก ๆ หรือทำงานเปิดโปรแกรมเยอะ ๆ แล้วทางเราแนะนำเป็นแรม 16GB จะดีกว่า ที่สำคัญต้องวิ่งแบบ Dual-Channel ด้วยนะ ( เสียบแรม 2 ช่อง ) และ BUS RAM เองก็สำคัญเจ้าตัวนี้เปรียบเสมือนถนนสำหรับฮาร์ดแวร์ต่างๆ ในโน้ตบุ๊คให้ติดต่อไปมาหาสู่กันได้ ยิ่ง BUS RAM สูงเท่าไหร่ ก็จะเปรียบเสมือนถนนที่มีเลนกว้างขึ้นเท่านั้น โดยสมัยนี้แรมจะเป็น DDR4 หากใครจะซื้อแรมมาอัปเกรดเครื่องตัวเองอย่าลืมเช็คกันก่อนล่ะว่าแรม DDR อะไร
 
*เกล็ดความรู้
RAM ที่มีความเร็ว BUS ต่างกันสามารถใส่ด้วยกันได้ แต่ระบบจะอิงความเร็วจากแรมตัวที่น้อยที่สุด  RAM ต่างความจุ ต่างแบรนด์ก็สามารถใส่ด้วยกันได้ แต่ต้องระวังอาการจอฟ้าด้วย เพราะบางทีมันก็เข้ากันไม่ได้ สมัยนี้ไม่น่าจะเจออะไรแบบนี้แล้ว แต่ก็ซื้อรุ่นเดียวกันเถอะครับ กันไว้ดีกว่าแก้ ส่วน RAM ที่มี DDR ต่างกันจะใส่ด้วยกันไม่ได้นะ แค่ช่อง Slot ก็ยัดไม่เข้าแล้ว
 
8. เลือกใช้ SSD M.2 เพื่อความไวขั้นสุดดด
     ทิ้งไปได้เลยกับคำว่าเงินซื้อเวลาไม่ได้ ในปี 2021 การจะซื้อเวลานั้นไม่ใช่เรื่องเพ้อฝันอีกต่อไป ตัวเก็บข้อมูลก็เช่นกันสมัยนี้ SSD M.2 เริ่มเข้ามามีบทบาทแทนที่ HDD ที่มีมาตั้งแต่ในสมัยก่อนโดยในตัวโน้ตบุ๊คเองก็มักจะติดตั้ง SSD M.2 มาให้จากโรงงานผลิต ความจุ 256GB แต่ถ้าจะให้ดีเลือกตัวที่มีความจุ 512GB หรือ 1TB ไปเลยหากงบถึงพอเพราะโน้ตบุ๊คบางตัวก็ไม่สามารถอัป SSD M.2 เพิ่มได้ ทำให้ไม่ว่าจะเป็นการเปิด-ปิดเครื่อง หรือเปิดโปรแกรมอะไรก็ตามแต่จะมีความรวดเร็วกว่า HDD อย่างมาก ถ้าเทียบกับการเปลี่ยนเครื่องบน Windows 10 ในสมัยนี้แล้ว HDD จะใช้เวลาการเปิดเครื่องนานถึง 1 – 3 นาทีแล้วแต่เครื่อง แต่กับ SSD M.2 ใช้เวลาเพียง 10 – 30 วินาทีในการเปิดเท่านั้นไวกว่าถึง 10 เท่า!! หมดปัญหากวนใจในการรอ ประหยัดเวลา ไม่เสียอารมณ์ แต่ถ้ารอเธอกลับมา เรารอได้นะ
 
 
9. เลือกคีย์บอร์ดที่ชอบ ตามสไตล์ที่ใช่ของตัวคุณเอง
 
 
     คีย์บอร์ดของโน้ตบุ๊คนั้นมีความหลากหลายและดีไซน์ที่ต่างกันออกไปในแต่ละรุ่น และยังมีปุ่มสัมผัสที่ไม่เหมือนกันอีกด้วยโน้ตบุ๊คบางทีก็จะมีสัมผัสที่พิมพ์แล้วสนุกมือ บางตัวก็พิมพ์แล้วเพลินมือไม่เมื่อยนิ้ว ในการดีไซน์บางรุ่นก็จะเป็นปุ่มคีบอร์ดแบบเป็นหลุมตรงกลางเล็กน้อยเพื่อให้พิมพ์งานได้แม่นยำ ดังนั้นเลือกสไตค์คีบอร์ดที่เราถนัดหรือชอบ คีบอร์ดโดยส่วนมากจะต่างกันที่มี Numpad ( แป้นตัวเลข ) , ปุ่มลูกศร , และปุ่มยิบย่อยอีกเล็กน้อยเช่นปุ่ม Home , End , Page Up และ Page Down หรือปุ่ม Function อื่น ๆ และในโน้ตบุ๊คบางตัวเองก็จะมีไฟ RGB ติดมาให้กับตัวคีบอร์ดอีกด้วย ช่วยให้พิมพ์งานในที่แสงน้อยหรือทำให้ตัวเครื่องดูสวยงามไปอีกระดับ
 
10. Touchpad ดีมีชัยไปกว่าครึ่ง
     ขึ้นชื่อว่าโน้ตบุ๊คย่อมต้องมี Touchpad เป็นของตัวเอง และยังเป็นส่วนที่ทำหน้าที่สำคัญแทนเมาส์ของเราอีกด้วย ดังนั้นต้องเลือกให้ดี ถ้า Touchpad ของเราไม่ดีละก็เตรียมตัวเจอเคอร์เซอร์เมาส์กระโดดไปทุกที่บนหน้าจอได้เลย โดยรูปแบบของ Touchpad ที่มีให้เลือกหลักๆ จะมีอยู่ 2 แบบคือแบบมีปุ่มกดก็คือจะมีปุ่มที่เปรียบเสมือนการคลิกซ้ายหรือคลิกขวาอยู่บน Touchpad ด้วย และแบบซ่อนปุ่มก็ตามชื่อเลยคือจะไม่มีปุ่มกดให้เห็นบน Touchpad แต่จะตอบสนองเวลาเรากดหรือจิ้มลงไปบน Touchpad นั่นเอง
 
11. Port การเชื่อมต่อต้องมีครบ
 
 
     พอร์ตต่าง ๆ ต้องมีให้ครบตามความต้องการใช้งาน โดยจะมีพอร์ตต่างๆ ดังนี้
เริ่มจากพอร์ต USB ก่อนเลยซึ่งเป็นพอร์ตพื้นฐานที่ต้องมีติดโน้ตบุ๊คแทบทุกเครื่อง เป็นพอร์ตยอดฮิต ณ ปัจจุบัน โดยจะใช้ USB Type A 3.0 – 3.2 เป็นส่วนใหญ่ และยังสามารถ Plug and Play ได้ทันที เสียบปุ้ปใช้ได้ปั้ป โดยส่วนมากจะใช้เสียบเมาส์และคีบอร์ดด้วยนะ ดูพอร์ตให้มีพอดีต่อการใช้งานล่ะ
USB Type C ที่เอาไว้เชื่อมต่อส่งข้อมูลหรือชาร์จมือถือในยุคปัจจุบันที่เริ่มหันมาใช้ USB Type C กันเกือบหมดแล้ว
DisplayPort ที่ทำหน้าที่เหมือนกับ HDMI แค่ส่งข้อมูลและรองรับความละเอียดได้สูงกว่าแถมแปลงเป็น HDMI ได้อีกด้วย            
พอร์ต LAN RJ45 อันนี้ก็จำเป็นสำหรับคนที่ชอบต่อสาย LAN เวลาเล่นเกมหรือทำงานเพราะด้วยความที่เน็ตวิ่งเสถียรกว่า Wi-Fi ทั่วไปโดยเฉพาะกับเหล่าเกมเมอร์ที่ต้องใช้การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตที่เสถียรและมีประสิทธิภาพหรือเหล่า Creator ที่กำลังอัปโหลดไฟล์งานแบบ Extreme
 
12. การเชื่อมต่อไร้สายต้องตามสมัย ไม่ตกรุ่น
     ตอนนี้เทคโนโลยีมาไกลมากโดยเฉพาะกับตัว W-Fi ที่ ณ ปัจจุบันเป็น Wi-Fi 6 AX ที่มีความแรงและระยะสัญญาณที่ไกลกว่ารุ่นก่อนหน้าอย่าง Wi-Fi 5 AC ตอบโจทย์ในยุคปัจจุบันที่ชีวิตประจำวันของเราต้องพึ่งอะไรหลายๆ อย่างจากอินเตอร์เน็ต ไม่ว่าจะเป็น IoT หรือการ Streaming ในทุกสภาวะแวดล้อม Bluetooth ก็เช่นกันต้องเป็นตัวปัจจุบันอย่าง Bluetooth 5.0 ที่จะให้ค่าดีเลย์ที่น้อยลงพร้อมประสิทธิภาพที่ดีขึ้น
 
13. แบตเตอรี่ต้องอึด ถึก ทน
     ความจุของแบตเตอรี่เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยสำหรับโน้ตบุ๊ค หากคุณจะนำโน้ตบุ๊คออกไปใช้งานนอกบ้านในที่ที่ไม่มีปลั้กไฟ โดยทั่วไปโน้ตบุ๊คแบบบางเบาจะมีอายุการใช้งานแบตเตอรี่ที่สูงกว่าโน้ตบุ๊คเครื่องใหญ่ เช่น Ultrabook จะมีระยะการใช้งานแบตเตอรี่ได้นานกว่าเกมมิ่งโน้ตบุ๊คอย่างมาก เนื่องจากมีสเปคที่ไม่กินไฟและใช้พลังงานต่ำ โดยสำหรับการเลือก Ultrabook แนะนำให้ดูแบตเตอรี่ที่สามารถใช้ได้ 8 – 10 ชั่วโมงขึ้นไป สำหรับเกมมิ่งโน้ตบุ๊คหรือโน้ตบุ๊คที่มีสเปคแรงให้ดูว่าแบตเตอรี่จะสามารถอยู่ได้ 2 – 4 ชั่วโมง แต่ส่วนใหญ่เราแนะนำให้พก Adapter ชาร์จไปด้วยจะดีที่สุด
 
14. ระบบระบายความร้อนต้องดูให้ดี
     ระบบระบายความร้อนเป็นส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในโน้ตบุ๊คโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเกมมิ่งโน้ตบุ๊คหรือโน้ตบุ๊ค Workstation สเปคสูง ที่ปล่อยความร้อนออกมาอย่างหนักหน่วง ระบบระบายความร้อนที่ดีจะทำให้เกิดการระบายอากาศของลมร้อนออกจากตัวเครื่องและดูดลมเย็นเข้าไปได้อย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ตัวเครื่องไม่เกิดอาการ Overheat และเวลาวางมือไปที่คีบอร์ดหรือบริเวณ Touchpad จะไม่รู้สึกถึงความร้อนที่จะมาลวกมือเรา และยังยืดอายุฮาร์ดแวร์ภายในได้อีกด้วย ถึงสเปคจะแรงแค่ไหนแต่ระบายความร้อนได้ไม่ดีก็จะใช้งานได้ไม่เต็มที่หรือเครื่องอาจมีปัญหาบ่อยๆ แต่หากเครื่องไหนระบายความร้อนดีดีถึงจะร้อน 80 – 90 องศาแต่จับไปที่แผงคีบอร์ดก็ยังเย็นและทำให้โน้ตบุ๊คทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพอีกด้วย ในการเลือกซื้อโน้ตบุ๊คก็อย่าลืมดูระบบระบายความร้อนด้วยนะครับ
 
15. การอัปเกรดดูให้ดีตรงไหนเพิ่มได้ ตรงไหนเพิ่มไม่ได้
     นอกจากจะดูสเปคและรายละเอียดบอดี้ของตัวเครื่องโน้ตบุ๊คไปกันจนหมดแล้ว สิ่งต่อมาที่ต้องมาดูก็คือการแกะอัปเกรดโน้ตบุ๊คของเราเอง ในปัจจุบันโน้ตบุ๊คส่วนใหญ่จะเปลี่ยนซีพียูและการ์ดจอไม่ได้แล้ว แบบไหนแบบนั้นไม่เหมือนกับสมัยก่อนที่ยังมีการแกะอัปเกรดได้ ( สมัยนี้มีแต่ Custom Notebook ที่อัปเกรดได้ ) สามารถทำได้แค่เพิ่มแรมหรือเพิ่มตัวอุปกรณ์เก็บข้อมูลอย่าง HDD หรือ SSD M.2 และบางรุ่นจะสามารถแกะชิป Wi-Fi ออกมาได้อีกด้วย โดยทั่วไปแล้วโน้ตบุ๊คให้มีช่องให้ใส่ RAM 2 Slot และ HDD หรือ SSD M.2 หรือ 1-2 Slot ตรวจเช็คให้ดีก่อนตัดสินใจที่จะซื้อของมาอัปเกรดเครื่องของคุณเอง และในบางกรณีอาจต้องสอบถามกับทางประกันว่าฮาร์ดแวร์ชิ้นนั้นๆ สามารถถอดเปลี่ยนหรืออัปเกรดได้หรือไม่ ถ้าทำแล้วประกันจะขาดหรือเปล่าด้วยนะครับ  
 
16. ประกันดี เซอร์วิสสุดยอด มีไว้ก็อุ่นใจ เกิดอะไรก็ให้ประกันดูแล
     นอกจากจะเลือกดูสเปคและรายละเอียดยิบย่อยต่างๆ ของตัวโน้ตบุ๊คกันหมดแล้ว ในที่สุดก็มาถึงขั้นตอนของการดูประกันและบริการหลังการขายว่าดีแค่ไหน มีระยะกี่ปี ครอบคลุมอะไรบ้าง โดยส่วนใหญ่ระยะเวลาของประกันจะเริ่มต้นที่ 1 ปีและสูงสุดถึง 3 ปีเต็มและยังมีบริการต่างๆ เพิ่มเติมเช่น Onsite Services ที่จะมาบริการซ่อมเครื่องโน้ตบุ๊คของเราให้ถึงบ้านหรือ Call Center ตลอด 24 ชั่วโมงบริการถาม - ตอบปัญหาของเราแบบไม่มีวันหยุด ถือว่าเป็นส่วนสำคัญหลังจากที่เราซื้อเครื่องกลับมาแล้วเลยล่ะครับ หากเครื่องเราเกิดปัญหา ประกันก็จะมาจัดการในด้านตรงนี้ให้ อย่างที่บอกไปประกันดี มีไว้ก็อุ่นใจ แต่เครื่องไม่มีปัญหาอันนี้นี่สิถึงจะถือว่ายอดที่สุดแล้วครับ ส่วนคนที่ซื้อโน้ตบุ๊คจากแอดไวซ์สบายใจได้เลยเพราะนอกจากเราเป็นผู้จัดจำหน่ายแล้วยังมีบริการซ่อม Advice Smart Service อีกด้วย!! ตามสโลแกนที่ว่า "นึกถึงไอที... นึกถึงแอดไวซ์" จำหน่ายและซ่อม | ครบ | จบในที่เดียว