กรุณารอสักครู่่
ติดต่อสอบถาม โทร.1491 หรือ 02-908-8888
Advice IT Infinite Public Company Limited

อินเทลทุ่ม 1.5 พันล.ดอลล์ ลงทุน 2 บริษัทชิปจีนสู้ศึก Qualcomm

แฟ้มภาพ Brian Krzanich ซีอีโออินเทลคนใหม่

        อินเทล (Intel) ประกาศเทงบลงทุนมากกว่า 1.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 4.8 หมื่นล้านบาท) เพื่อซื้อหุ้น 20% ในบริษัทผลิตชิปจีน 2 แห่ง การผูกมิตรกับรัฐบาลจีนครั้งนี้ถูกมองว่าเป็นหนึ่งในความพยายามเพื่อไล่ตามคู่แข่งรายสำคัญในตลาดชิปหน่วยประมวลผลสำหรับอุปกรณ์พกพาอย่าง “ควอลคอมม์ (Qualcomm)” ได้
       
       สำนักข่าวรอยเตอร์ รายงานว่า อินเทลจะเข้าซื้อหุ้นบริษัทสเปรดทรัม คอมมูนิเคชันส์ (Spreadtrum Communications) และบริษัทอาร์ดีเอ ไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (RDA Microelectronics) ผ่านการตกลงกับบริษัทร่วมทุนของรัฐบาลจีนอย่างซิงหัว ยูนิกรุ๊ป (Tsinghua Unigroup) ซึ่งถือเป็นบริษัทแม่ของทั้ง 2 บริษัทผู้ผลิตชิปอิเล็กทรอนิกส์ที่อินเทลสนใจร่วมทุน
       
       การร่วมทุนครั้งนี้ถูกมองว่า จะทำให้อินเทลสามารถเจาะตลาดชิปสำหรับอุปกรณ์พกพาในจีนได้รวดเร็ว โดยจีนนั้นเป็นตลาดสำคัญที่กำลังทวีอิทธิพลในอุตสาหกรรมสมาร์ทโฟนโลก ซึ่งเป็นผลจากกำลังซื้อมหาศาลจากประชาชนชาวจีน
       
       ในมุมของอินเทล ผู้ผลิตชิปคอมพิวเตอร์สัญชาติอเมริกันรายนี้สามารถครองตลาดชิปสำหรับคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลมาตลอดหลายสิบปี แต่กลับไม่สามารถมีอิทธิพลเหนือตลาดชิปสำหรับอุปกรณ์พกพาได้ ดังนั้น การลงทุนซื้อหุ้นบริษัทผลิตชิปจีนจึงเป็นหนึ่งในทางลัดที่จะทำให้อินเทลสามารถสร้างรายได้ในตลาดนี้มากขึ้น
       
       การลงทุนครั้งนี้ของอินเทล สะท้อนว่าซีอีโอคนใหม่ของบริษัทให้ความสำคัญการกู้จุดยืนอินเทลในตลาดอุปกรณ์พกพา โดยหลังจากที่ไบรอัน ครซานิช (Brian Krzanich) รับตำแหน่งซีอีโออินเทลเมื่อปีที่แล้ว อินเทล ลงมือประกาศข้อตกลง และนโยบายมากมายที่ผลักดันให้เทคโนโลยีชิปของอินเทลถูกนำไปใช้ในสมาร์ทโฟน และแท็บเล็ตมากขึ้น โดยการลงทุนครั้งนี้เกิดขึ้นตามหลังข้อตกลงที่อินเทลทำกับผู้ผลิตชิปแท็บเล็ตของจีนอย่าง “ร็อคชิป (Rockchip)” ราว 6 เดือน เพื่อผลิตเป็นชิปไฮเอนด์สำหรับแท็บเล็ตที่ใช้แบรนด์ และสถาปัตยกรรมอินเทล
       
       นักวิเคราะห์มองว่า นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของอินเทลเท่านั้น โดยคาดว่าซีอีโออินเทลจะผลักดันให้บริษัทมีการจับมือร่วมเป็นพันธมิตรกับบริษัทหน้าใหม่อีกเป็นจำนวนมากในอนาคต เบื้องต้น นโยบายนี้ได้รับเสียงตอบรับแง่บวกจากนักลงทุน เห็นได้จากมูลค่าหุ้นอินเทลที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง 32% ในปีนี้ ซึ่งเป็นผลส่วนหนึ่งจากความต้องการในตลาดพีซีที่ทรงตัว (ไม่ลดลง)
ที่มา: manager